เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงตาเมื่อคืนเทศน์ เห็นไหม ถ้ารู้จริงมันออกมาจากความจริง ถ้ารู้จำนี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนก็ว่าตัวเองๆ เพราะเข้าข้างตัวเองหมด เพราะตัวเองทำอะไรถูกไปหมดเลย แต่ถ้าคนที่รู้จริงมันเห็นว่าการกระทำของเรานี่ มันทำอยู่ในอวิชชา ถ้าเป็นโลกเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เป็นโลกเห็นไหม ดูสิ เวลาพึ่งพาอาศัยกัน โลกจะพึ่งพาอาศัยกัน การช่วยเหลือกัน สิ่งนี้มีบุญคุณไหม? มีบุญคุณ แต่เวลาเราคิดเอง ระหว่างจิตกับขันธ์ เวลาจิตมันคิดออกมา จิตมันพลังงานออกมา แล้วขันธ์คิด นี่มันเชื่อตัวเองไหม ถ้าไม่มีพลังงานนะ เวลาคนตายไป ถ้าคนตายไปมันต้องคิดแบบว่าตลอดไป เป็นไปไม่ได้

เวลาความคิดเรานี่นะ เวลามันย่อยสลายไปแล้ว เห็นไหม นี่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญาเห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันคนละตัวกันไง ถ้าเป็นอวิชชาปัจจยาการ มันเป็นตัวพลังงาน มันเป็นปัจจยาการ มันเป็นอันเดียว มันเป็นพลังงานอันหนึ่ง

แต่ตัวขันธ์เห็นไหม ตัวขันธ์ตัวสัญญาความจำ การศึกษาเล่าเรียนทางโลกนี่ ว่าช่วยเหลือกันๆ มันเป็นสัญญา การสัญญา พอมีสัญญา สัญญาคือข้อมูล สัญญาคือการเทียบเคียง สัญญาคือให้ค่า ให้ค่าความคิดนี้ไง คำว่าสัญญาๆ นี่มันให้ค่าใช่ไหม คิดดีคิดชั่ว คิดสุขคิดทุกข์ นี่คือสัญญา สังขารปรุงแต่ง เห็นไหม นี่การช่วยเหลือกัน ระหว่างขันธ์กับจิตมันช่วยเหลือกัน เหมือนกับโลกเลย แต่ไม่ใช่ความจริง มันเป็นสมมุติไง

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานั้น ถ้าเป็นความจริงคนตายไปแล้วต้องคิดอย่างนี้ตลอดไป ไม่ใช่! พอไปเป็นเทวดานี่ เป็นเทวดาหรือว่าเป็นอินทร์ เป็นพรหมนี่ ความคิดมันต่างนะ เพราะอะไร? เพราะสิ่งแวดล้อมต่าง สถานะต่าง ทุกอย่างต่างหมด เวลาเป็นพรหมนี่เห็นไหม ขันธ์เดียว ขันธ์เดียวอยู่บนพรหมนี่ ผัสสาหาร ผัสสะคือการกระทบนี่เป็นอาหารของเขาแล้ว วิญญาณาหาร เห็นไหม กวฬิงการาหาร อาหารของมนุษย์ นี่เรื่องของโลกๆ

เรื่องของโลกคือเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของความเป็นไป เรื่องของพายุ เวลาพายุบุแคมมันมา เห็นไหม ธรรมชาติมันแปรปรวน มันเกิดพายุเกิดฝนตกนี่เป็นธรรมชาติทั้งนั้น สิ่งที่ความคิดเราก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

แต่ความคิดอย่างนี้เราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราว่าสิ่งนี้เป็นสภาวธรรมไง สภาวธรรมมันก็ไปจำมา มันก็เป็นสมมุติไง เป็นสมมุติ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้จริง แต่เป็นสมมุติของเราเพราะเราไปจำมา เราไปจำมามันถึงช่วยตัวเองไม่ได้ มันเป็นแต่เราศึกษามา เห็นไหม

เราศึกษาวิชาการ วิชาการใหม่ๆ มาเราไปศึกษาแล้ว โอ้โห...ทึ่งมากเลย สุดยอดเลยๆ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เราไปเรียนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทึ่งมากเลย โอ๊ย...มันจะมีความสุขอย่างนั้น ความสงบจะเป็นความสุขอย่างนั้น นี่มันเป็นการช่วยเหลือกันระหว่างขันธ์กับจิตมันทำงานต่อกัน ไม่ใช่ความจริงหรอก

ถ้าเป็นความจริง มันเกิดจากความเป็นไปจากภายใน เวลาตัวจิต ตัวรับรู้ในตัวอวิชชา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตัวอวิชชานี่มันมีกิเลส มันมีความเห็นของมันเจือปนมา เวลามันไปผสมกับสัญญา ข้อมูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ข้อมูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นของจริง แต่เวลาเราปลอมปนมาจากภายใน เราปลอมปนมาจากจิตของเรา จิตของเรานี่ปลอมปน พอจิตของเราปลอมปนขึ้นมานี่ ออกไปมันไปเอาความเห็นนั้นให้ค่า มันบิดเบือน

พอบิดเบือนไป ดูสิ เวลาธรรมะนี่จะเถียงกันปากเปียกปากแฉะเลย คนที่ศึกษาธรรม เห็นไหม จะเถียงกันแต่ละมุมมอง สิ่งที่มุมมองต่างไป มีความสุขเหมือนกันนะ คนเรานี่ให้ทานก็มีความสุข คนนั่งถือศีลปกติมีความสุข บางคนทำภาวนาแล้วมีความสุข เห็นไหม นี่ความสุขต่างๆ กันอย่างนี้ ความสุขต่างๆ กันเพราะว่าจริตนิสัยมันต่างๆ กัน แล้วก็มาเถียงกันเรื่องธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่ได้แก้กิเลสเลย ถ้ามันแก้กิเลสมันจะย้อนกลับมาถึงตัวเราเอง เห็นไหม ต้องทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน

ดูสิ ป้อมค่ายพังจากภายใน ป้อมค่ายนี่นะ เราตีแล้วตีอีก ตีไม่แตกหรอก แต่ถ้ามีไส้ศึกจากภายใน มีการวางกลยุทธ์จากภายใน ตีแตกจากภายในออกมา นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อตัวจิต ตัวสกปรก ตัวภายในนี่ อะไรไปตีมัน ป้อมค่ายมันมีอยู่แล้ว เห็นไหม เหมือนกันเลย พระพุทธเจ้าเทศน์เหมือนเราเลย เรารู้เหมือนพระพุทธเจ้าเลย ธรรมนี่เราเข้าใจหมดเลย เห็นไหม ป้อมค่ายมันกั้นไว้ ตีไม่แตก ตีไม่เข้า ตีไม่ได้เลย

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา พอความสงบของใจ จิตเราสงบ ก็ตัวมันน่ะตัวป้อมค่าย ตัวมันที่ปกป้องตัวมันเองไว้ เห็นไหม อวิชชาปกป้องตัวมันเองไว้ ตัวมันไม่ยอมรับ “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลามันผ่องใสมันก็ว่ามันเป็นธรรม เป็นธรรมไง นี่มันบังไว้ มันไม่ยอมรับเลย เวลาทำความสงบของใจเข้าไป จิตสงบเข้ามานี่ว่างๆๆ เห็นไหม ป้อมค่ายมันปิดแล้ว ป้อมค่ายมันไม่ให้เข้าไปถึงตัวมันเลย มันจะปิดตัวมันเองไว้ ไม่ยอมเข้าถึงตัวมันเองเลย นี่แตกจากภายใน เห็นไหม

ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบขึ้นมา มันเป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาเกิดจากภายใน เกิดจากหัวใจ โลกุตตรปัญญา ภาวนามยปัญญานี่ โลกนี้ไม่มี โลกนี้มันเป็นจินตนาการ จินตมยปัญญาทั้งหมดเลย แม้แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปรมัตถธรรมนี่แหละ เป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับความรู้สึกนี่

ถ้าความรู้สึกเรา เวลาความรู้สึกเรา เรามีความรู้สึกอย่างไร เราจะเขียนอธิบายความรู้สึกได้ขนาดไหน เราไปเจอสิ่งที่ถูกใจมาก เราจะพรรณนาได้ไหมว่าสิ่งความรู้สึกอย่างนี้เป็นอย่างไร พรรณนาไม่ได้เลย เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสมมุติออกมา เราต้องพยายามให้ค่ามันออกมา แต่ความรู้สึกความสุขอันนั้นลึกซึ้งกว่านะ แล้วความรู้สึกเกิดจากอะไร? ความรู้สึกเกิดจากความพอใจ เกิดจากได้สิ่งนี้ตอบสนองแล้วมันพอใจ เห็นไหม สิ่งที่ได้ตอบสนองมา มันได้รับสิ่งที่มันพอใจ มันจะมีความสุขของมัน นี่เป็นอามิส!

สิ่งที่เป็นอามิสมันเป็นรูปกระทบ มันเป็นความเป็นไปของมัน ไม่เป็นสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงมันเป็นความสุขของเขานะ มันเป็นวิธีการกับเป้าหมาย วิธีการน่ะ การกระทบก็วิธีการเห็นไหม เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของครูบาอาจารย์จะบอกถึงวิธีการ วิธีการมันเป็นไป มันสัมผัสได้ มันชี้นำกันได้ แต่เป้าหมาย เป้าหมายถึงความสุขอันนั้น เพราะอะไร? เพราะมันเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมที่ไม่สามารถ... เป็นอกาลิโก อกาลนะ ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ใครสัมผัสได้ตลอดไป

เพียงแต่ความหยาบละเอียดของจิตมันจะย้อนกลับ อันนี้ไม่ได้ไง ถ้าย้อนกลับอันนี้นะ เวลาครูบาอาจารย์เราถึงธรรม เห็นไหม “จะไปสอนใครได้หนอ พูดออกไปเขาจะเชื่อไหม” เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้เป็นนามธรรมที่ลึกซึ้ง ลึกซึ้งที่เราเข้าไปสัมผัสเอง

เหมือนกับเราเข้าไปในอุโมงค์ เราเข้าไปสำรวจธรณีวิทยา เห็นไหม เราเข้าไปในอุโมงค์ สิ่งที่พื้นที่เขาไม่มี พื้นที่เขามี แต่เขาไม่สามารถสำรวจได้ เขาไม่ได้เจาะลึกลงไปในแผ่นดินนั้นได้ ในความลึกของชั้นดินนั้นได้ เขาจะไม่เข้าใจสิ่งสภาวะแบบนั้น แล้วพูดไปนะไม่เข้าใจ พูดไปก็ไม่เข้าใจ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามา เห็นไหม พูดไปไม่เข้าใจ เราพูดกันได้แต่บนพื้นดินนี่ สิ่งที่ตาจับต้องได้ สิ่งที่มองเห็น เพราะอะไร? เพราะเราเห็นกันได้ด้วยสามัญสำนึก เราเห็นกันด้วยความเป็นไปของธรรมชาติ เห็นไหม แต่ถ้าเราลงลึกลงไปอย่างสภาวะแบบนั้นมันเป็นอย่างไร

จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตนี่ภาวนามยปัญญามันเป็นสภาวะแบบใด มันย้อนกลับมาอย่างไร ธรรมจักรมันหมุนอย่างไร ถึงบอกว่ามรรคหยาบ มรรคละเอียดไง นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ความคิดหยาบๆ ความคิดของเรานี่ ความคิดวิทยาศาสตร์นี่ นี่หยาบๆ หยาบมากๆ เลย ความคิดทางวิทยาศาสตร์นี่ เพราะวิทยาศาสตร์มันต้องมีการทดสอบตลอดไป

ดูสิ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงทฤษฎี ทฤษฎีเก่าจะลบล้างกันไปตลอด สภาวะแบบนั้นตลอดไป มันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ยังอีกมหาศาลเลย แต่พิสูจน์มหาศาลขนาดไหนก็แล้วแต่ มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ว่ามันต้องพิสูจน์กันตรวจสอบกันให้เห็นสสาร ให้เห็นผลตรวจสอบเป็นสภาวะแบบนั้น

แต่ธรรมะมันละเอียดกว่าเพราะอะไร เพราะละเอียดกว่า ธรรมะนี่มันถึงที่สุดแล้วมันเป็นปรมัตถธรรม มัน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไง ดูสิ ทางโลกนี่ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร? เพราะมันเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่แรงดึงดูด เห็นไหม อยู่ที่แรงโน้มถ่วง อยู่ต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันเป็นวัตถุ มันเป็นโลก

แต่ถ้าเป็นความรู้สึกเราล่ะ แรงโน้มถ่วง เห็นไหม เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวไม่ชอบ เดี๋ยวเป็นไป เดี๋ยวว่าง ไม่ว่างนี่ แรงโน้มถ่วงอันนี้เกิดจากอะไร? เกิดจากความรู้สึกของใจไง เกิดจากพลังงานอันบิดเบี้ยวนั่นไง เกิดจากพลังงานอวิชชาที่มันทำให้บิดเบือนในสัจจะความจริงอันนั้นไง แล้วเราก็ทำกันอย่างไร สภาวะอย่างไรให้ถึงสัจจะความจริง ถ้าทำความสมาธิได้ มันก็คงที่เดี๋ยวเดียว

เหมือนกับโลกนี่ เราพิสูจน์อะไรขึ้นมาได้ เราสร้างตึกรามบ้านช่องขึ้นมา เห็นไหม เดี๋ยวเดียวแล้วมันก็ต้องแปรไป ไม่มีอะไรคงที่หรอก จะเป็นศิลปวัฒนธรรมจะกี่พันปีกี่ล้านปีก็แล้วแต่ อยู่ไม่ได้! อยู่ไม่ได้หรอก! มันต้องแปรสภาพไป โลกนี้ต้องแปรสภาพไป อยู่อย่างนี้ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราอนิจจัง เห็นไหม สมาธิเป็นอนิจจัง อยู่ในใจเราเป็นอนิจจัง มันจะคงที่ก็คงที่พักเดียว แต่คงที่พักเดียวอย่างนี้ นี่ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิอย่างนี้เกิดขึ้นมา แล้วพยายามย้อนกลับเข้ามาจากภายใน ถ้าปัญญาอันนี้เกิด ธรรมจักรก็เกิด ถ้าธรรมจักรเกิด เห็นไหม ธรรมจักร เพราะอะไร? ทำไมถึงเป็นธรรมจักร เพราะมันเป็นความเพียรชอบ มันเป็นงานชอบ

ถ้างานมันไม่ชอบมันงานส่งออก งานมันหมุนออกไป มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่มันไม่ชอบ ไม่ชอบกับใคร? ไม่ชอบกับใจของเราไง ไม่ชอบจากการกระทำของเราไง เพราะมันไม่เข้ามาชำระกิเลสของเรา มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก เราไปยืมมา เราไปเหน็บมา เราไปเอาสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของเรา เห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นชอบ ชอบ ความเพียรชอบ ชอบตรงไหน ชอบตรงมันย้อนกลับมาถึงใจของเรา นี่งานชอบ ชอบเพราะอะไร? เพราะได้ประโยชน์ไง ชอบเพราะแก้ความทุกข์ของเราไง มันเป็นเพียรชอบ งานชอบ มันเป็นธรรมจักร ถ้าจักรอันนี้ชอบขึ้นมา ชอบขนาดไหน โสดาบัน สกิทา อนาคา อรหัตตมรรค นี่ต่างกันหมดเลย ความละเอียดรอบคอบต่างกัน เห็นไหม นี่มรรคหยาบมรรคละเอียด นี่ที่ว่าปัญญามันฉลาด มันฉลาดขนาดนั้นนะ

ถ้ามันย้อนกลับไป มันเห็นความเป็นไปของจิต จิตมันมีเป็นไปขนาดไหน ย้อนกลับมาขนาดไหน ทำลายขนาดไหน แต่ทำลายจิตดวงนี้ ทำลายกิเลสในจิตดวงนี้ นี่เป็นสมบัติของเรา ถ้าผลอันเป็นสมบัติของเรา อันนี้เกิดขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา เห็นไหม สิ่งนี้มันจะแก้กิเลสได้ไง ถ้าแก้กิเลสได้ ถึงว่าฉลาดในโง่

เวลาเป็นไป ว่าพูดออกมาได้อย่างไร ความพูดออกมามันประสบการณ์ของใจ ใจมันมีประสบการณ์อย่างนั้น มันจะหลงใหลไปอย่างนั้น มันจะมีความเป็นไปของจิตอย่างนั้น สภาวะแบบนั้นออกไป อย่างนี้มันถึงไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันไม่เป็นกลางไง มันย้อนกลับเข้ามาทำลายกิเลสตัวนี้ไม่ได้ไง ถ้าทำลายกิเลสตัวนี้ไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องของโลกๆ เห็นไหม เรื่องของโลก ปัญญาของโลก ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์กันเป็นของโลก มันก็เกาะเกี่ยวกันไปอย่างนั้น มันพิสูจน์ได้เป็นตำรับตำรา เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ สิ่งที่พิสูจน์ได้เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าสิ่งต่างๆ ได้เลย สิ่งต่างๆ ใครค้นคว้าขึ้นมาได้ ก็เป็นจิตดวงนั้นค้นคว้าขึ้นมาได้ ถ้าค้นคว้าขึ้นมาได้ก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น นี่ธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะอันนี้อกาลิโก จิตมีความรู้สึกทั้งหมดนะ เรานี่มีความรู้สึกทั้งหมดเลย แล้วโดนกิเลสครอบงำไว้

ถ้าเราแก้ไขได้ เราปลดเปลื้องได้ มันจะเป็นความสุขของเรา นี่ธรรมในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ชนะตน ต้องชนะเรา ถ้าเราชนะเราได้ เราจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าชนะคนอื่นหมื่นแสนได้แต่สร้างเวรสร้างกรรม ถ้าชนะตัวเอง สิ้นสุดกระบวนการของความคิดนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมาร เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” นี่สิ้นสุดกระบวนการความคิด คือดำริความคิดนี่ ต่างๆ สิ้นสุดมาเลย มารเกิดตรงนั้น แล้วทำลายถึงที่ตรงนั้น สะอาดบริสุทธิ์ แล้วจะคิดถึงมันด้วยสติสัมปชัญญะพร้อม ถ้าเป็นอริยสัจ

แต่ถ้าเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องสัญญา เรื่องข้อมูล กลับลืมได้ ความลืมนี่มันเป็นข้อมูล แต่ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม ความรู้สึกลืมไม่ได้ แล้วจิตออกมาจากความรู้สึกอันนั้น สติจะพร้อมตลอดไป มันจะพร้อมกับความรู้สึก ดำริความคิดออกมาต่างๆ มันจะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของใจดวงนั้น เห็นไหม เกิดขึ้นมาอย่างนี้ ธรรมเกิดมาอย่างนี้ ถ้าใครรู้จริงอย่างนี้ เห็นจริงอย่างนี้ มันถึงจะพูดได้ตามความเป็นจริง เอวัง